ภาพถ่าย

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

เท้าแห้งแตก ... ดูแลได้ไม่ยาก

     ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าหากจะพูดถึงเรื่องของการดูแลรักษาความสวยความงามเกี่ยวกับร่างกายของสาวๆ แล้ว เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยสาวๆ ก็คงจะให้ความสำคัญกับเรื่องของรูปร่างหน้าตา การแต่งตัว แต่งหน้า เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างความมั่นใจให้กับสาวๆ ได้ ...

     (มอง ไล่ลงมาตั้งแต่หัวจรดเท้า) หน้าสวย แต่งหน้าเป๊ะ หุ่นดี  แต่งตัวเทรนด์ แต่ ... ส้นเท้าแห้งแตกเป็นร่องดำ!!!! โอ้ หมดกัน สวยไม่เสร็จกันเลยทีนี้

       ถึงแม้เท้าจะเป็นอวัยวะที่อยู่ต่ำที่สุด แต่ก็ต้องถือว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญไปไม่น้อยกว่าอวัยวะส่วนอื่น เพราะในแต่ละวันเท้าเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักมากที่สุดส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่สาวๆ อย่างเรากลับไม่ค่อยให้ความสำคัญในการดูและสุขภาพเท้าเท่าไหร่นัก นี่เองจึงเป็นที่มาของปัญหา "ส้นเท้าแตก"
       สำหรับอาการส้นเท้าแตกนั้นในรายที่มีอาการรุนแรงมาก ส้นเท้าจะแตกจนกลายเป็นร่องลึก รู้สึกเจ็บปวดจนเดินลำบาก นอกจากนี้ ร่องลึกของส้นเท้าแตกก็จะกลายเป็นที่สะสมของคราบสกปรก เชื้อโรคต่างๆ สามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยที่เราไม่รู้ตัวอีกด้วย


แล้วปัญหาส้นเท้าแตกเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ?

     ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาส้นเท้าแตกก็คือ สวมรองเท้าเปิดส้นเป็นประจำ ปัญหา ส้นเท้าแตกส่วนใหญ่มักเกิดจากการเสียดสีระหว่างส้นเท้ากับวัสดุที่เรา เดินเหยียบย่ำไป เช่น พื้นดิน พื้นปูน หรือพื้นบ้าน ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นจะค่อยๆ แข็งและหนาขึ้น จนทำให้เกิดการแห้งแตกในที่สุด และสาวๆ ที่ชอบใส่รองเท้าที่ไม่หุ้มส้น มีโอกาสจะเกิดส้นเท้าแตกได้มากกว่าคนที่ใส่รองเท้าหุ้มส้นหรือใส่ถุงเท้าค่ะ

     นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดปัญหาผิวแห้ง เช่น การทำงานในห้องปรับอากาศจะยิ่งทำให้ผิวแห้งเพราะความชื้นในห้องปรับอากาศจะ ต่ำกว่าภายนอก หรือการทำความสะอาดผิวด้วยน้ำอุ่นและสบู่เป็นเวลานานจะล้างน้ำมันหล่อเลี้ยง ผิวออกเกินความจำเป็น คนที่มีผิวแห้งจะมีโอกาสเกิดส้นเท้าแตกได้มากกว่า เพราะมีโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองระหว่างส้นเท้ากับสารที่มาสัมผัสมากกว่า ค่ะ

อย่าปล่อยให้ส้นเท้าแตกเป็นปัญหาคาใจ มาดูวิธีดูแลที่ถูกต้องกันดีกว่า

        สิ่งแรกที่สาวๆ ควรทำความเข้าใจก็คือ เราไม่ควรปล่อยให้ผิวแห้ง เพราะการที่ผิวของเราแห้งนั้นทำให้มีแนวโน้มที่จะทำให้ส้นเท้าแตกได้ง่าย และควรหลีกเลี่ยงการสวมใส่รองเท้าส้นเปิด หรือการเดินด้วยเท้าเปล่าโดยไม่สวมรองเท้าเป็นเวลานานๆ และถ้าจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศเย็นมากซึ่งทำให้ผิวแห้งง่าย ควรทาครีมที่เท้าและส้นเท้าด้วยค่ะ

       ส่วน สาวๆ คนไหนที่ปล่อยปะละเลยจนส้นเท้าแห้งแตกไปแล้ว ก็ให้ใช้วิธีดูแลด้วยการทาครีมชุ่มชื้น โดยครีมที่ควรใช้ความเป็นพวก urea cream , Vaseline เพื่อให้ความชุ่มชื้น และทำให้ผิวอ่อนนุ่มขึ้น แต่ถ้าหากส้นเท้าหนามากอาจใช้ยาทาเพื่อที่ไปละลายผิวหนังชั้นนอกออก จากนั้นให้แช่น้ำอุ่น แล้วเอาแปรงนุ่มๆ ขัดเบาๆ บริเวณที่ส้นเท้าแตกเป็นประจำก็จะช่วยได้ค่ะ

     ส่วนสิ่งที่สาวๆ ควรทำให้ติดเป็นนิสัยคือ ควรหารองเท้าใส่อยู่ในบ้านเสมอ หรือถ้าเป็นไปได้ก็ให้ทาครีมแล้สวมถุงเท้าไว้ วิธีนี้จะช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นให้ส้นเท้าของเราได้ค่ะ ^^ 


Tip ดูแลเท้าแห้งแตกด้วยวิธีง่ายๆ แบบนี้ ...
     >>> แช่เท้าในน้ำสบู่ประมาณ 15 นาที ล้างสบู่ออกเช็ดให้แห้ง ใช้วาสลีนประมาณ 1 ช้อนชาผสมกับน้ำมะนาว 1 ลูก ถูบริเวณที่แตก หรือที่กระด้าง ควรทำเป็นประจำทุกวันจนกว่าจะหาย
     >>> ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยสุก ทาบริเวณส้นเท้าวันละ 4-5 ครั้ง ทำติดต่อกันประมาณ 4-5 วัน เท้าที่แห้งแตกก็จะชุ่มชื่นขึ้น 



 ... ไม่ยากเลยนะคะกับการดูแลสุขภาพเท้าของเรา ในแต่ละวันให้ความสำคัญกับการดูแลเท้าบ้าง เพื่อสุขภาพเท้าที่แข็งแรงไม่แห้งแตกยังไงล่ะ 

ที่มา : www.dek-d.com
นานาประโยชน์จากโยเกิร์ต
เป็นอาหารที่ดูดีมีชาติตระกูล เหมาะกับสาวรุ่นใหม่อย่างเราเป็นที่สุด แต่เบื้องหลังหน้าตาสวยใส โยเกิร์ตยังมีความลับที่คุณอาจยังไม่รู้
ประโยชน์จากโยเกิร์ต

ประโยชน์จากโยเกิร์ต
คน ที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
โยเกิร์ต ไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง
ถึง แม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้
จุลินทรีย์ ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ “เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร” ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
แคลเซียม สูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก
เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น
การทาน โยเกิร์ต ที่ ได้ผลที่สุดควรจะทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่
ขอบคุณที่มา : http://women.mthai.com/views_health_11_47_39506_1.women

สมุนไพรต้านมะเร็ง

สมุนไพรต้านมะเร็ง
โดย พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ภัทราพร ตั้งสุขฤทัย
 

จากข้อสรุปที่ว่าร่างกายของคนเรามีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ถ้าร่างกายเรามีภูมิต้านทานที่ดีมีความสมบูรณ์ แข็งแรง ก็จะสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ ดังนั้นระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกทำลายด้วยวิธีต่างๆ ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อมะเร็ง ได้แก่ การกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง อาหารมีสารพิษ ไม่สะอาด มีสารก่อมะเร็ง การไม่ออกกำลังกาย ความเครียด การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารพิษรอบๆ แล้ว ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทั้งนั้น ดังนั้นการป้องกันการเกิดมะเร็งที่ดี คือ การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่เน้นเป็นอาหารธรรมชาติ เส้นใย (fiber) สูง เช่น ผักพื้นบ้านที่อุดมไปด้วย วิตามิน เอ อี ซี สูง เช่น ผักใบเขียว กระเทียม หัวหอม ข่า กระเทียม โหระพา ตำลึง มะระ ฯลฯ
ตามที่มีข่าวลงในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 15 ธันวาคม 2543 เกี่ยวกับเครื่องปรุงในต้มยำกุ้งป้องกันการเกิดมะเร็งนั้น ในสูตรของต้มยำกุ้ง ประกอบด้วยเครื่องปรุงหลักที่เป็นสมุนไพร ดังนี้
1. ข่า

2. ตะไคร้

3. ใบมะกรูด

4. พริก

5. มะนาว

ตามตำราการแพทย์แผนไทยพบว่า ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก มีรสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณตามตำรายาไทยช่วยขับลม ช่วยย่อย แก้ปวดท้อง ช่วยเจริญอาหาร และมีวิตามินซี ช่วยบำรุงร่างกาย กระดูกและฟัน

จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า
เหง้าข่า มีน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ methyl cinnamate 48 % ,cincol 20-30 % น้ำมันหอมระเหยจากเหง้าข่ามีฤทธิ์ขับลมต้านเชื้อแบคทีเรีย และมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา นอกจากนี้ยังไม่พบพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรัง และไม่มีฤทธิ์ก่อสารกลายพันธุ์

ตะไคร้ ใบและลำต้นประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยและสารประกอบที่สำคัญ ได้แก่ citral 65-85%, myrcene, citronellal, geraniol , menthol , citxonellol, engenol มีฤทธิ์ขับลม ลดการบีบตัวของลำไส้ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด

พริก มีสารสำคัญคือ มีวิตามินซีสูง มีสารที่มีฤทธิ์เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์แต่ในขณะเดียวกันสารแคบไซซินในพริกจะทำให้เกิดการระคายเคือง ไม่ควรใช้ในปริมาณมาก โดยเฉพาะรายที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ

ใบมะกรูด มีน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ช่วยขับลมในลำไส้

มะนาว ผิวเปลือกมีสารสำคัญเป็นน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ส่วนน้ำมะนาวมีสาร slaronoid , oranic acid , citral และวิตามินซี ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด ขับเสมหะ แก้ไอ

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าในเครื่องปรุงต้มยำซึ่งเป็นอาหารไทยที่บรรพบุรุษได้ใช้กันมาอย่างยาวนานจนกระทั่งปัจจุบันไม่พบความเป็นพิษอีกทั้งยังมีสรรพคุณทางยาไทยช่วยขับลม ช่วยย่อย แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เจริญอาหาร และที่สำคัญเครื่องปรุงเหล่านี้มีเส้นใยอาหารมาก จะช่วยดูดซับสารพิษในลำไส้ระบบทางเดินอาหารและขับถ่ายของเสียได้ดี นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนว่าสมุนไพรแต่ละชนิดที่นำมาปรุงในต้มยำมีสารสำคัญช่วยยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ และยังมีรายงานยืนยันว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์


นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรที่เป็นอาหารหลายชนิดที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งและมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ได้แก่

กุยช่าย
มะแว้งเครือ
มะแว้งต้น
ขมิ้นชัน
มังคุด
หอมแดง
กะเพรา
โหระพา
กระเทียม
งา
ขนุน
ชะเอม
ดีปลี
ขมิ้นอ้อย
มะนาว
ตำลึง
ถั่วลิสง
ขิง
ตะไคร้
น้ำเต้า
พริก
ผักกาดน้ำ
มะขามป้อม
สะเดา
พลู
มะเขือพวง
แมงลัก

ที่มา : http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww525/joke73/joke73-web1/Report/Herb1.htm